แชร์ประสบการณ์ตรง ซื้อมาขายไป VS ทำแบรนด์ ทำแบบไหนดี ??
- nanniizriseacademy
- 21 ต.ค. 2567
- ยาว 1 นาที
หลายคนคงกำลังสับสน ว่าระหว่างการ ซื้อมาขายไปกับทำแบรนด์เราควรทำอันไหนดี แนนจะบอกว่าอันไหนก็ดีเหมือนกันค่ะ เพราะช่วยสร้างรายได้ให้กับเราทั้งคู่ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมาย และจุดประสงค์ของเรา ณ ตอนนี้คืออะไร และอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นแบบไหน
แนนจะมาแชร์จากประสบการณ์ของตัวแนนเองในระยะเวลาที่ทำทั้ง 2 อย่าง ในเวลา 3 ปี เท่าๆกันค่ะ โดยแนนเริ่มเข้าวงการซื้อมาขาย ช่วง 3 ปี เน้นเป็นสินค้ากระแส สินค้าจีน ทุกหมวดหมู่ ยกเว้นประเภทอาหาร และสร้างแบรนด์ของตัวเอง 3 ปี สินค้าแบรนด์จะเน้นเป็น สินค้าแม่และเด็ก ทั้งของเล่น ของใช้ทั่วไป ของใช้สิ้นเปลือง แฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่คุณแม่สามารถซื้อได้ทั้งหมด มีทั้งแบบ Personal brand และบางแบรนด์แนนก็ไม่ได้เอาตัวเองออกหน้ากล้องค่ะ และทั้ง 2 อย่าง แนนจะแชร์ในมุมมองที่อยู่ในสเกลเริ่มต้นได้ คือยอดขาย 0-3 ลบ/เดือน เท่านั้นนะคะ
ธุรกิจซื้อมาขายไป
ข้อดี
- ไม่ต้องวางคอนเซปต์อะไรมาก เห็นอะไรน่าสนใจหยิบมาขายได้เลย
- ได้เงินง่ายและไวมาก ยิ่งถ้าจับสินค้ากระแส จับถูกจังหวะ รวยแบบปุ๊ปปั๊ปรับโชคได้เลย
- ไม่ต้องปวดหัวในการคิดคอนเทนต์ ให้คุณค่ามาก เน้นเรื่องโปรโมชั่น แบบรัวๆ
- เหมาะกับคนเบื่อง่ายไม่ต้องฟิกที่ตัวสินค้า
- เหมาะกับคนที่จะเริ่มต้น เพราะบางสินค้าแทบไม่ต้องใช้ทุนเลย ถ้าคุยกับผู้ผลิตได้ เป็นเหมือนคนกลาง
-การเข้าถึงสินค้าในปัจจุบันค่อนข้างง่ายและหลากหลาย ไม่ว่าจะในไทยหรือจีน
- เริ่มต้นได้เลยทันที แค่จับสินค้ามาทดลองขาย ทดลองทำการตลาดที่ตัวเองถนัด
ข้อเสีย
- เน้นขายรอบเดียวจบ เหมือนหาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ ค่าการตลาดค่อนข้างแกว่งและแนวโน้มสูงขึ้น
- มีการตัดราคาเกิดขึ้นเพราะสามารถเข้าถึงแหล่งผลิตหรือทุนได้ง่ายขึ้น
- ลูกค้าจำร้านไม่ได้ หรือจำผู้ขายไม่ได้ ถ้าสินค้าดีแต่ไม่ได้รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เค้าอาจไปซื้อร้านอื่นที่สินค้าเหมือนกันได้
- สินค้ากระแส ถ้าจับถูกตัวแล้วปัง บางครั้งถ้าเราอยากสเกลทันที เราจะใช้เงินเพิ่มค่าการตลาด ต้องใช้ทุนที่เพิ่มขึ้นเยอะมากในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลต่อสภาพคล่องได้ หากวางแผนไม่ดี
- ทำกำไรต่อชิ้นได้น้อย และต้องคอยสำรวจราคาคู่แข่งตลอดเวลา
- ใช้ทีมงานเยอะกว่าแบรนด์เยอะมากในช่วงยอดขายเท่าๆกัน
ธุรกิจทำแบรนด์
ข้อดี
- ถ้ามองในระยะยาวคือการสร้างความมั่นคง เพราะถ้าแบรนด์ติดตลาด เราสามารถต่อยอดธุรกิจได้อีกหลายแขนง
- กำไรสูง และไม่ต้องกังวลเรื่องตัดราคา เพราะแต่ละแบรนด์วางคอนเซปต์ต่างกันแม้สินค้าจะเป็นประเภทเดียวกัน
- แบรนด์จะค่อยๆ เติมโตจากการสะสมแฟนคลับ และการกลับมาซื้อซ้ำ
- ค่าการตลาดจะค่อยๆลดลง ตามจำนวนแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้น
- แบรนด์เริ่มต้นจากการอยากแก้ปัญหาให้ลูกค้า ถ้าปัญหาแก้ได้จริง ลูกค้าจะทำการตลาดช่วยเราเอง
- 1 แบรนด์ขายได้หลายแพลตฟอร์ม ตอนนี้แต่ละแพลตฟอร์มสามารถให้พันธมิตรช่วยขายได้ เหมือนเราไม่ต้องทำการตลาดคนเดียว
- เพิ่มโอกาสเติบโตทางธุรกิจสามารถขยายไปออฟไลน์หรือส่งออกได้
- สามารถขายคอลเลคชั่นใหม่ๆ กับลูกค้าคนเดิมก่อนได้ ไม่ต้องหาฃูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ
ข้อเสีย
- ในช่วงเริ่มต้นต้องใจเย็นๆ ไม่อู้ฟู่ เหมือนซื้อมาขายไป
- ไม่ได้ปวดหัวเรื่องหาสินค้า ปวดหัวเรื่องการคิดคอนเทนต์ที่ทำยังไงให้ขายได้ สื่อสารยังไงให้ลูกค้าเชื่อใจและซื้อเรา
- ต้องวางคอนเซปต์ทำการบ้านค่อนข้างเยอะในช่วงเริ่มต้น เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ บางคนเลิกทำตั้งแต่ในขั้นตอนวางแผนก็มี
- ยอดขายค่อยๆ เติบโตใช้ระยะเวลา 3-6 เดือน ไม่ได้ปุ๊ปปั้ปรับโชค เหมือนสินค้ากระแส
- ถ้าวางโครงสร้างราคาผิด และวาง positioning ผิด อาจจะเสี่ยงขาดทุนค่าการตลาดได้ เพราะหลายแบรนด์ลืมบวกต้นทุนค่าการตลาดเข้าไปด้วย
- วัดผลยอดขายเป็นรายเดือน รายไตรมาส วัดแบบวันต่อวันไม่ได้ เพราะแบรนด์จะมีการจัดโปรบ่อยๆ
แนนสรุปคร่าวๆ ประมาณนี้นะคะ จริงๆแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ณ ช่วงเวลานั้นๆ แต่ใดๆ ก็ตาม ถ้าตัดสินใจได้แล้ว วางแผน เขียนมันออกมาในกระดาษทั้งเป้าหมายและวิธีการ จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมมากขึ้น หลายคนชอบคิด แต่ไม่เคยเขียนออกมันจะมีแค่ภาพในหัว แต่ถ้าเราเขียนออกมา เราจะเชื่อมโยง หรือ โยงใยขั้นตอนและวิธีการได้ทั้งหมดจริงๆ (**อันนี้แนะนำเลย ยิ่งคนที่ไอเดียเยอะๆ แล้วฟุ้งไปหมด วันนี้ไปร้านหนังสือ ซื้อสมุดและปากกามาเขียนมันออกมา แล้วทำตามที่เขียนไป ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะมาก**)
แนนเป็นคนนึง ที่ก่อนหน้านี้ ภาพทุกอย่างอยู่ในหัว เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ค่อยเขียนมันออกมา แต่พอเขียนปุ้ป เราจะรู้เลยทำอะไรก่อนดี 1 2 3 ทุกวันนี้เลยขาดสมุดพกไม่ได้เลย นึกอะไรออกจะเขียนออกมาก่อน บางทีแว้ปไปแว้ปมา ไม่ได้ทำสักอย่าง ไม่ได้ทำก็เท่ากับไม่สำเร็จ ลงมือทำ โอกาสสำเร็จก็ครึ่งนึงแล้ว





-01.png)




ความคิดเห็น